ทำความเข้าใจถึงกลยุทธ์สำหรับการเทรดฟอเร็กซ์และเครื่องมือวิเคราะห์ฟอเร็กซ์ที่ใช้กันมากที่สุด
การเทรดมีความเสี่ยง เงินทุนของคุณมีความเสี่ยง
วางแผนการเทรดและเทรดตามแผน
การตัดสินใจทางการเงินบนพื้นฐานของสัญชาตญาณนั้นไม่น่าจะทำกำไรได้ นั่นเป็นเหตุผลที่เทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จจำนวนมากทดลองใช้ระบบและกลยุทธ์ต่างๆ เพื่อช่วยในการตัดสินใจ
กฎตายตัวที่ควบคุมจุดเข้าและออกบนพื้นฐานการวิเคราะห์ทางเทคนิคช่วยให้เทรดเดอร์สามารถตัดอารมณ์ออกจากสมการและมีโอกาสได้รับผลกำไรที่สม่ำเสมอมากขึ้น เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคสร้างทริกเกอร์เพื่อแนะนำเมื่อถึงเวลาที่ควรดำเนินการ สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่าการเทรดมีความเสี่ยงอยู่โดยเนื้อแท้และไม่รับประกันในผลกำไร
ตรวจสอบให้แน่ใจเสมอว่าคุณพอใจกับกลยุทธ์โดยทดสอบในสภาพแวดล้อมที่จำลองขึ้นและมีความปลอดภัย การเปิดบัญชีทดลองให้คุณปรับกลยุทธ์ภายใต้สภาวะตลาดจริงโดยไม่ต้องเสี่ยงด้วยเงินจริงของคุณ คุณสามารถทดสอบกลยุทธ์ได้ด้วยการปรับใช้กับกราฟราคาย้อนหลังและดูว่าผลลัพธ์ของคุณจะออกมาเป็นอย่างไร โดยไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อโลกในความเป็นจริง
รูปแบบการเทรดฟอเร็กซ์ที่แตกต่างกัน
นักเทรดรายวันใช้ประโยชน์จากความผันผวนของสินทรัพย์ วางการเทรดระยะสั้นหลายรายการโดยคาดหวังว่าจะทำกำไรจำนวนน้อยในการทำธุรกรรมแต่ละครั้ง นี่อาจเป็นรูปแบบการเทรดที่มีปริมาณสูงและมีความเครียดสูงดังนั้นคุณต้องมีสมาธิที่แน่วแน่ในตลาดและอยู่ในสถานะที่สามารถตอบสนองต่อสถานการณ์เชิงบวกหรือเชิงลบได้อย่างรวดเร็ว
การเทรดรายวันคืออะไร?เมื่อพิจารณาจากชื่อ นักเทรดรายวันเปิดและปิดการเทรดตลอดช่วงเวลาระหว่างวัน โดยปกติจะถือสถานะไว้เพียงไม่กี่ชั่วโมง การเทรดรายวันจะขจัดความเสี่ยงที่เกิดขึ้นเมื่อคุณเปิดสถานะค้างไว้ข้ามคืน
การเทรดแบบ Scalp เป็นรูปแบบที่สุดโต่งกว่าการเทรดรายวัน โดยคุณต้องพร้อมรับมือทุกการเปลี่ยนแปลงของตลาด ซึ่งเหมาะกับเทรดเดอร์ที่ตั้งใจจะติดตามข้อมูลตลอดทั้งวัน คุณต้องตัดสินใจอย่างรวดเร็วและชอบในความเสี่ยงสูง การขาดทุนครั้งใหญ่สองสามครั้งสามารถกลบผลกำไรของคุณในวันนั้นได้
Scalp คืออะไร?นักเทรดแบบ Scalp มีเป้าหมายอยู่ที่การเคลื่อนไหวของราคาระหว่างวันและตั้งเป้าที่จะทำกำไรแต่ละครั้งน้อยมากแต่บ่อยครั้งมาก โดยปกติพวกเขาจะถือสถานะไว้เพียงไม่กี่วินาทีหรือไม่กี่นาทีและใช้ประโยชน์จากโอกาสเล็กๆ ในขณะที่เทรดกับเทรนด์ที่ทำกำไร
ผู้เทรดในสถานะจะมองตลาดในระยะยาวมากกว่านักเทรดแบบรายวันหรือแบบ Scalp ดังนั้นรูปแบบนี้จึงเหมาะกับเทรดเดอร์ที่ไม่ต้องการติดตามตลาดตลอดเวลา อย่างไรก็ตามคุณต้องมีความยืดหยุ่นมากพอที่จะก้าวผ่านช่วงย่อตัวที่อาจเกิดขึ้นในตลาดได้ (สมมติว่าเกิดขึ้นเป็นระยะสั้น)
การเทรดในสถานะคืออะไร?ด้วยการเทรดในสถานะ คุณลงทุนในสินทรัพย์โดยคาดหวังผลกำไรจากช่วงขาขึ้น โดยทั่วไปผู้เทรดในสถานะจะใช้การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานเพื่อระบุสินทรัพย์ที่พวกเขาต้องการลงทุน และเสริมการวิจัยนั้นด้วยเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคเพื่อระบุจุดเข้าและออกที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด
การเทรดจากการสวิงจะทำตามหลักพื้นฐานเดียวกันกับการเทรดในสถานะ แต่จะมองไปในระยะปานกลาง (ไม่เหมือนกับการเทรดรายวันที่มองตลาดในระยะสั้น) การเทรดจากการสวิงจะใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดในตลาดที่มีความผันผวนมากกว่า (เมื่อเทียบกับการเทรดในสถานะ) เมื่อไม่มีแนวโน้มขาขึ้นที่ชัดเจนให้ใช้ประโยชน์ โดยทั่วไปจะพิจารณาว่าเป็นรูปแบบที่อยู่ระหว่างการเทรดรายวันกับการเทรดในสถานะ
การเทรดจากการสวิงคืออะไร?ด้วยการเทรดจากการสวิง คุณต้องมองหาสินทรัพย์ที่น่าจะมีการเคลื่อนไหวของราคาในระยะสั้นที่คุณสามารถใช้ประโยชน์ได้ การเปิดสถานะไว้ข้ามคืนเพิ่มความเสี่ยงมากขึ้นเนื่องจากมีโอกาสเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดที่จะส่งผลต่อตลาดขณะที่คุณสนใจในสิ่งอื่นอยู่
กลยุทธ์การเทรดทั่วไป
กลยุทธ์ที่มีชื่อฟังดูเร้าใจนี้ใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบ Exponential (EMA) 20 ช่วงหรือ Bollinger Band ช่วงกลาง ซึ่งเป็นกลยุทธ์ยอดนิยมโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเทรดเดอร์ที่ดำเนินการในกรอบเวลาสั้นๆ
กลยุทธ์การเทรดแบบ Bladerunner คืออะไร?เส้น EMA หรือ Bollinger Band ช่วงกลาง ‘ตัด’ ราคาเป็นสองส่วนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสัญญาณเทรดจะถูกสร้างขึ้นเมื่อราคาเคลื่อนไหวอย่างสะดวกเหนือหรือใต้เส้นและมีการทดสอบซ้ำหลายครั้ง สิ่งนี้จะยืนยันว่าแนวโน้มระยะยาวไม่น่าจะย้ายไปอยู่ด้านตรงข้ามของเส้นแม้ว่าอาจจะเกิดขึ้นในระยะสั้นก่อนที่จะมีการรวมเข้าด้วยกัน
การเทรดแบบ Daily Fibonacci Pivot รวม Pivot Point รายวันกับ Fibonacci Retracement เข้าด้วยกันเป็นกลยุทธ์เดียว โดยเป็นการออกแบบมาเพื่อให้เทรดเดอร์ทราบว่าพวกเขามีแนวโน้มที่จะเจอแนวรับและแนวต้านหลักในพื้นที่ใด
การเทรดแบบ Daily Fibonacci Pivot คืออะไร?เมื่อทำการเทรด Long ในช่วงขาขึ้น ให้รอเส้น Fibonacci Retracement และเส้น Pivot Support มาบรรจบกัน Fibonacci เป็นตัวขับเคลื่อนหลักในการตัดสินใจของคุณ หนุนด้วยการยืนยันจาก Pivot Point
กลยุทธ์ยอดนิยมนี้ตั้งอยู่บนหลักการที่ว่า ตามปกติแล้วราคาจะย้อนกลับไปยังค่าเฉลี่ยกลางของมัน เทรดเดอร์ใช้ Bollinger Band เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคเพื่อประเมินว่าเมื่อใดควรซื้อหรือขาย กลยุทธ์นี้ใช้ได้ดีที่สุดในตลาดที่ค่อนข้างจะคงที่ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวในช่วงที่คงเส้นคงวา
กลยุทธ์การเทรดแบบ Bolly Band Bounce คืออะไร?หลักพื้นฐานคือสินทรัพย์จะสอดคล้องและไม่ทะลุแนวรับและแนวต้าน Bollinger Bands ทำเครื่องหมายจุดเหล่านี้ด้วยสองเส้นที่ ‘ประกบ’ สินทรัพย์ เมื่อราคาแตะแนวต้าน มันจะกระเด้งและเลี้ยวกลับไปตรงกลาง เมื่อแตะแนวรับก็จะทำเช่นเดียวกันในทิศตรงข้าม ในขั้นพื้นฐานที่สุด เทรดเดอร์สามารถขายเมื่อราคาแตะเส้นบน และซื้อเมื่อตกไปถึงระดับต่ำสุด โปรดระวังว่าหลักทรัพย์นั้นมักจะ ‘ไต่เส้น’ แทนที่จะกระเด้งกลับอย่างชัดเจน
นี่เป็นวิธีการขั้นสูงกว่าเล็กน้อยในการใช้ระดับ Fibonacci ในการเทรด แฟนคลับกลยุทธ์การเทรดนี้มักบอกว่าเป็นกลยุทธ์เดียวที่พวกเขาใช้เพื่อเทรดในตลาด คุณสามารถใช้กลยุทธ์นี้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์อื่นๆ เพื่อให้ได้ผลที่ดีขึ้น
กลยุทธ์การเทรดแบบ Overlapping Fibonacci คืออะไร?แนวคิดหลักคือการเรียงลำดับ Fibonacci ในแนวโน้มเดียวกันที่จุดต่างๆ และมองหาจุดบรรจบกัน โดยจะใช้ได้ดีที่สุดในแนวโน้มที่เข้มแข็งในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง ตัวอย่างเช่น ในแนวโน้มขาขึ้น หนึ่งลำดับของ Fibonacci ถูกดึงจากร่องทั้งหมดจนถึงจุดสูงสุดของแนวโน้ม ลำดับที่สองจะถูกดึงจากร่องของคลื่นที่สองไปจนถึงจุดสูงสุดเดียวกัน หากเส้นตรงกัน นั่นแสดงว่ามีแนวรับที่แข็งแกร่ง (หรือแนวต้านในกรณีของแนวโน้มขาลง)
กลยุทธ์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ประโยชน์จากความผันผวนที่มักเกิดขึ้นเมื่อตลาดลอนดอนเปิด นี่เป็นกลยุทธ์ยอดนิยมสำหรับการเทรดทองคำโดยเฉพาะ
กลยุทธ์การเทรดแบบ London Hammer คืออะไร?‘ค้อน’ คือรูปแบบที่เกิดขึ้นในกราฟแท่งเทียน ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อมูลค่าการเทรดของสินทรัพย์นั้นลดลงจากราคาเปิด จากนั้นก็พุ่งกลับขึ้นเหนือหรือใกล้กับราคาเริ่มต้น ทำให้เกิดเป็นรูปร่างค้อน (ตัวแท่งสั้นกับด้ามยาว) ข้อสันนิษฐานคือลอนดอนให้ข้อบ่งชี้เร็วที่สุดว่าตลาดจะตอบสนองอย่างไรในวันนั้น หากต้องการใช้กลยุทธ์นี้อย่างมีประสิทธิภาพ คุณต้องทราบถึงเส้นแนวรับและแนวต้านที่ชัดเจน ยกตัวอย่างเช่น ตัวบ่งชี้ที่ดีในการที่จะขายมักจะช่วงที่ไส้เทียนเลยระดับแนวต้านไป
เศษส่วนถูกใช้เป็นตัวบ่งชี้ที่ยืนยันการมีอยู่หรือการเกิดขึ้นของแนวโน้ม ในตลาดที่มีความวุ่นวายมาก เศษส่วนจะมีประโยชน์ในการระบุทิศทางราคาที่ชัดเจน เศษส่วนในแง่พื้นฐานที่สุด คือรูปแบบที่สามารถยืนยันการกลับตัวได้
กลยุทธ์การเทรดฟอเร็กซ์แบบเศษส่วนคืออะไร?รูปแบบเศษส่วนที่ส่งสัญญาณถึงจุดกลับตัวของกระทิงคือร่องที่อยู่ตรงกลาง ขนาบข้างด้วยจุดที่สูงกว่าทั้งสองข้าง เศษส่วนที่ส่งสัญญาณถึงจุดกลับตัวของหมีในตลาดคือจุดสูงสุด ขนาบข้างด้วยจุดต่ำกว่าทั้งสองข้าง ‘อินดิเคเตอร์ Alligator’ มักถูกใช้ควบคู่ไปกับเศษส่วน นี่เป็นเครื่องมือที่สร้างขึ้นโดยใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เพื่อสร้างสามเส้นที่จะช่วยยืนยันว่ามีการกลับตัวเกิดขึ้น
การเทรดแบบ Dual Stochastic ใช้ Stochastic Oscillator เพื่อส่งสัญญาณเมื่อเทรนด์มีแนวโน้มที่จะกลับตัว สิ่งนี้ช่วยให้เทรดเดอร์ทราบล่วงหน้าว่าพวกเขาควรเตรียมพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนสถานะในสินทรัพย์
การเทรดฟอเร็กซ์แบบ Dual Stochastic คืออะไร?กลยุทธ์นี้เปรียบเทียบ Stochastic Oscillator แบบเร็วและช้าเพื่อวัดโมเมนตัมของเทรนด์ เมื่อราคาแตะระดับสูงสุดที่ทำเครื่องหมายโดยระดับ Stochastic (มากกว่า 80 และต่ำกว่า 20) นั่นแสดงว่าการกลับตัวอาจเกิดขึ้นในภายหน้าเนื่องจากสินทรัพย์แตะระดับที่มีการซื้อและขายมากเกินไป โดยทั่วไปเทรดเดอร์จะรอให้ราคามีแนวโน้มที่แข็งแกร่งและเตรียมพร้อมสำหรับตัวชี้วัด Stochastic ที่จะอยู่ในด้านตรงข้าม กลยุทธ์นี้ใช้ได้ดีที่สุดกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ เพื่อแนะนำจุดเข้าที่ทำกำไรได้มากที่สุด
การเทรดแบบ Pop ‘n’ Stop ออกแบบมาเพื่อช่วยให้คุณได้ใช้ประโยชน์จากการทะลุออกจากกรอบแคบๆ อย่างกะทันหัน อันตรายอย่างอื่นคือคุณพลาดโอกาสโดยสิ้นเชิง เข้าร่วมในความตื่นเต้นสายเกินไปและไล่ตามราคาไม่สำเร็จ
การเทรดแบบ Pop ‘n’ Stop คืออะไร?การเทรดแบบ Pop ‘n’ Stop คือคำอธิบายเมื่อราคาทะลุออกจากกรอบก่อนหน้านี้ไปด้านบนและหยุดชั่วขณะก่อนที่จะปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง ณ จุดนี้ สิ่งสำคัญคือการดูสัญญาณที่อาจบอกได้ว่าราคาจะไปในทิศทางใด กลยุทธ์นี้จะรวมทฤษฎีการเคลื่อนไหวของราคาเข้ากับตัวชี้วัดอื่นๆ โดยส่วนใหญ่จะเป็นรูปแบบแท่งเทียน Rejection Bar เทรดเดอร์มักวางคำสั่ง Limit หนึ่งหรือสอง Pip ก่อนถึง Rejection Bar เพื่อช่วยจัดการกับความเสี่ยง
การเทรดแบบ Drop ‘n’ Stop คือด้านตรงข้ามของ Pop ‘n’ Stop และมีการใช้เพื่อเทรดในการทะลุของขาลง กลยุทธ์ทั้งสองนี้มีการใช้บ่อยที่สุดเมื่อเซสชั่นเทรดเปิดและมีปริมาณการเทรดสูง
การเทรดแบบ Drop ‘n’ Stop คืออะไร?เช่นเดียวกับ Pop ‘n’ Stop กลยุทธ์ Drop ‘n’ Stop จะเกิดขึ้นเมื่อสินทรัพย์ร่วงออกจากกรอบล่าสุดแล้วดูเหมือนจะลังเลเล็กน้อยก่อนที่จะเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่ชัดเจน การเคลื่อนไหวนี้อาจเป็นโอกาสสำหรับเทรดเดอร์หากพวกเขาเข้าและออกในเวลาที่ถูกต้อง
ทดสอบกลยุทธ์ในบัญชีทดลอง
ทดสอบกลยุทธ์ที่คุณเลือกในบัญชีทดลองของเรา
ก่อนที่คุณจะเริ่มเทรดด้วยเงินทุนของคุณเอง เป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องทดสอบกลยุทธ์และเครื่องมือต่างๆ จนกว่าคุณจะมั่นใจว่าคุณเจอวิธีการที่เหมาะกับคุณแล้ว ดังที่เราเห็น ขึ้นอยู่กับว่าคุณต้องการใช้เวลาในการติดตามการเทรดมากน้อยเพียงใด แรงเสี่ยงลงทุนโดยทั่วไปของคุณ และคุณสบายใจที่จะตัดสินใจอย่างรวดเร็วเพียงใด
ด้วยบัญชีทดลองของ FXTM คุณสามารถเข้าถึงตลาดสกุลเงินได้โดยไม่มีความเสี่ยงและสามารถฝึกหัดภายใต้สภาวะตลาดของจริงได้ ทุกอย่างเป็นจริงยกเว้นเงิน (จำลอง)!
เปิดบัญชีทดลอง*การเทรดมีความเสี่ยง คุณอาจสูญเสียเงินทุนของคุณ
ไม่ใช่แค่เพียงฟอเร็กซ์ที่คุณสามารถฝึกฝนได้ในบัญชีทดลองของ FXTM FXTM ยังเปิดโอกาสให้คุณเทรด CFD (สัญญาซื้อขายส่วนต่าง) สำหรับสินค้าโภคภัณฑ์ ดัชนีสำคัญ และหุ้น การเทรด CFD ให้คุณเข้าถึงตลาดการเงินได้มากขึ้นและมักต้นทุนในการดำเนินการที่ต่ำกว่า
ข้อดีของบัญชีทดลองของเรา
FXTM มีเลเวอเรจ* ที่ยืดหยุ่นเพื่อให้ความได้เปรียบที่คุณต้องการ
*เลเวอเรจที่เสนอให้จะขึ้นอยู่กับความรู้และประสบการณ์ของคุณ
ดูเพิ่มเติมเกี่ยวกับบัญชีทดลองของเราเครื่องมือวิเคราะห์ที่สำคัญสำหรับการเทรดฟอเร็กซ์
MACD เป็นเครื่องมือที่ได้รับความนิยมซึ่งจะประเมินความแข็งแกร่งและทิศทางของแนวโน้มและช่วยแจ้งเตือนโอกาสที่ราคาจะมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคต
วิธีการใช้ดัชนีชี้วัด MACDMACD ใช้ความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบ Exponential สองช่วง (โดยใช้ราคาปิด) โดย EMA 12 วันกับ 26 วันเป็นช่วงที่มีการใช้กันมากที่สุด จากนั้น “เส้นสัญญาณ” (SMA 9 วันของ MACD เอง) จะถูกวางทับ MACD โดยที่ถูกเรียกว่า ‘เส้นสัญญาณ’ ก็เพราะเมื่อเส้น MACD ข้ามไป ก็เป็นสัญญาณให้ซื้อหรือขาย
ครอสโอเวอร์ – เมื่อเส้น MACD ขยับขึ้นไปเหนือเส้นสัญญาณแสดงว่ามีแนวโน้มขาขึ้นซึ่งหมายความว่าอาจถึงเวลาที่ควรซื้อ เมื่อข้ามไปข้างใต้แสดงว่ามีแนวโน้มขาลงและอาจถึงเวลาที่ควรขาย ในทำนองเดียวกัน เมื่อ MACD ข้ามเหนือเส้นฐาน ก็คาดว่าจะมีทิศทางปรับตัวสูงขึ้นและจะเป็นสัญญาณให้ซื้อ ในทางกลับกัน เมื่อ MACD ลงไปใต้เส้นฐาน ก็คาดว่าจะมีทิศทางปรับลดลง ดังนั้นจึงมีการสร้างสัญญาณขาย
ไดเวอร์เจนซ์ – นี่คือเมื่อเส้นราคาไปในทิศทางที่ต่างจาก MACD แสดงให้เห็นว่าแนวโน้มอาจกำลังจะย้อนกลับซึ่งสามารถช่วยเทรดเดอร์ในการระบุถึงโอกาสได้
Dramatic rise – เมื่อมีความแตกต่างอย่างมากระหว่าง EMA ที่ช้าและเร็ว (หมายถึงมีการเอียงขึ้นอยากมากในเส้น MACD) นั่นเป็นสัญญาณว่าสินทรัพย์มีการซื้อมากเกินไป
Parabolic SAR เป็นดัชนีชี้วัดที่ติดตามแนวโน้มเช่นเดียวกับ MACD ซึ่งจะช่วยคุณในการซื้อเมื่อเป็นแนวโน้มขาขึ้นและขายเมื่อเป็นแนวโน้มขาลง โดยจะแสดงเป็นชุดของจุดทั้งด้านล่างหรือด้านบนของแท่งราคา (ขึ้นอยู่กับทิศทางของแนวโน้ม) และคำนวณโดยใช้ราคาสูงสุดและต่ำสุดล่าสุดและปัจจัยเร่ง
วิธีการใช้ Parabolic SARโดยพื้นฐานแล้ว Parabolic SAR ช่วยให้มองเห็นแนวโน้มขาขึ้น (เมื่อจุดอยู่ต่ำกว่าราคา) และแนวโน้มขาลง (เมื่อจุดอยู่เหนือราคา) ได้ง่ายขึ้น ดัชนีชี้วัดนี้มีประโยชน์สำหรับการทำให้ทิศทางของราคาในปัจจุบันชัดเจนและแนะนำจุดออกและจุดเข้าที่เป็นไปได้ สัญญาณจะถูกสร้างขึ้นเมื่อจุดเปลี่ยนจากด้านบนเป็นด้านล่างของราคา ซึ่งเหมาะที่สุดสำหรับการประเมินโมเมนตัมในระยะสั้นเท่านั้นและน่าจะเป็นประโยชน์มากที่สุดสำหรับนักเทรดรายวัน
Stochastic Oscillator ประกอบด้วยสองเส้น (เรียกว่า %K และ %D) และวัดราคาปิดของสินทรัพย์เมื่อเทียบกับช่วงราคาสูงสุดและต่ำสุดในช่วงเวลาที่ปรับได้ ช่วงเวลาทั่วไปมักจะเป็น 14 ช่วง แต่คุณสามารถเปลี่ยนเพื่อลดหรือเพิ่มความไวของดัชนีชี้วัดนี้ต่อตลาดได้
วิธีการใช้ Stochastic Oscillatorเดิมทีถูกออกแบบมาเพื่อช่วยติดตามโมเมนตัมและความเร็วของราคา แต่ในปัจจุบันมักถูกใช้เพื่อแจ้งเตือนเทรดเดอร์ถึงสภาวะที่มีการซื้อหรือขายมากเกินไป เมื่อเส้นอยู่เหนือ 80 สินทรัพย์นั้นจะถูกพิจารณาว่ามีการซื้อมากเกินไป (และเทรนด์มีแนวโน้มที่จะกลับตัว เทรดเดอร์จึงควรขาย) และเมื่อต่ำกว่า 20 สินทรัพย์นั้นจะถูกพิจารณาว่ามีการขายมากเกินไป (เทรดเดอร์จึงควรซื้อ)
เช่นเดียวกับ Stochastic Oscillator ดัชนีกำลังสัมพัทธ์เป็นอีกหนึ่งดัชนีชี้วัดที่ผูกติดกับช่วงเวลาที่ช่วยเทรดเดอร์ระบุสภาวะที่มีการซื้อหรือขายมากเกินไป ซึ่งจะวิเคราะห์ราคาของสินทรัพย์เมื่อเวลาผ่านไปโดยเปรียบเทียบกำไรเฉลี่ยกับการขาดทุนเฉลี่ยในช่วงเวลาย้อนหลัง และสามารถระบุรูปแบบได้โดยใช้ RSI ที่จะไม่ปรากฏในกราฟราคาจริง
วิธีการใช้เครื่องดัชนีกำลังสัมพัทธ์หากราคาของสินทรัพย์สูงกว่า 70 จะถูกพิจารณาว่ามีการซื้อมากเกินไป หาก RSI ลงไปต่ำกว่า 30 จะถูกพิจารณาว่ามีการขายมากเกินไป โดยทั่วไปแล้วยังมีการใช้ระดับ 50 ในการยืนยันแนวโน้ม (ด้านบนสำหรับกระทิงและต่ำกว่าสำหรับหมี)
Bollinger Band ในรูปแบบที่เข้าใจง่ายที่สุด คือวัดความผันผวนของตลาด ดัชนีชี้วัดนี้ประกอบด้วยสองเส้น (ซึ่งติดตามส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน) ที่ล้อมรอบแท่งราคา และมีเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบง่ายอยู่ตรงกลาง เส้นชั้นนอกขยายตัวและหดตัวตามราคาปิดว่ามีความผันผวนมากน้อยเพียงใด
วิธีการใช้ Bollinger Bandมีหลายรูปแบบที่เทรดเดอร์บางส่วนพบว่ามีประโยชน์สำหรับการพยากรณ์การเคลื่อนไหวของตลาด ในตลาดที่เสถียร เส้นด้านบนและล่างมักจะทำหน้าที่เป็นแนวรับและแนวต้านคอยหนุนให้ราคากลับไปสู่จุดกึ่งกลางในปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ‘Bollinger Bounce’ เมื่อราคา ‘ไต่เส้น’ (ปรับขึ้นหรือลงไปยังเส้นด้านบนหรือล่างแล้วอยู่แถวนั้น) ก็อาจเป็นสัญญาณว่าแนวโน้มมีโมเมนตัมที่แข็งแกร่งและน่าจะดำเนินต่อไปเช่นนั้นในระยะสั้น
Ichimoku Kinko Hyo ได้รับการออกแบบมาให้เป็นดัชนีชี้วัดแบบครบวงจรและควรให้ข้อมูลทั้งหมดที่เทรดเดอร์ต้องการได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากประกอบด้วยห้าเส้น จึงอาจเป็นเรื่องยากสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่ในการอ่าน โดยทำการวัดโมเมนตัมรวมถึงคาดการณ์โซนแนวรับและแนวต้าน
วิธีการใช้ Ichimoku Kinko Hyoทั้งห้าเส้น (tenkan-sen, kijun-sen, senkou span A, senkou span B และ chikou span) คำนวณโดยใช้ราคาที่สูงที่สุดและราคาที่ต่ำที่สุดในช่วงเวลาย้อนหลังที่ต่างกัน เส้นจะแสดงระดับแนวรับและแนวต้านสำคัญต่างๆ รวมถึงสัญญาณสำหรับการกลับตัวและสถานที่ทางยุทธวิธีเพื่อวางจุด Stop Loss แม้จะมีการออกแบบเป็นดัชนีชี้วัดแบบครบวงจร แต่ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่แนะนำให้ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคในรูปแบบอื่นด้วย
การเทรดมีความเสี่ยง เงินทุนของคุณมีความเสี่ยง
เลื่อนขึ้นด้านบน